วันดีเดย์

วันที่ 6 มิถุนายน 1944 การร่วมมือกันระหว่างกองทัพเรือ กองทัพบก และกองทัพอากาศที่ใหญ่ที่สุดได้เกิดขึ้น ด้วยชื่อรหัสว่า "Overlord" การยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอร์มังดีเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ซึ่งนำไปสู่​​ชัยชนะของพันธมิตรในยุโรปในเดือนพฤษภาคม 1945

การเตรียมการเพื่อปลดปล่อยยุโรปตะวันตกได้เริ่มขึ้นไม่นานหลังการอพยพของกองกำลังสัมพันธมิตรจากดันเคิร์กในปี 1940

ก่อนสิ้นปี 1941 สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมกับอังกฤษในการก่อตั้ง "มหาสัมพันธมิตร" เพื่อต่อต้านฮิตเลอร์ ในปี 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมร่วมกันในกรุงเตหะรานเพื่อวางแผนกลยุทธ์

การจัดแสดงนี้จะเน้นที่การวางแผนซึ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติการ "Overload" จะประสบความสำเร็จ รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันดีเดย์

Commandos on board a landing craft on their approach to Sword Beach, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

การขึ้นหาดสวอร์ดวันที่ 6 มิถุนายน 1944

ในเดือนพฤศจิกายน 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรประชุมกันในกรุงเตหะรานเพื่อวางแผนกลยุทธ์ อังกฤษและสหรัฐอเมริกาตกลงที่จะเปิดการโจมตีแบบ Cross-Channel ในฤดูใบไม้ผลิถัดไป สหภาพโซเวียตได้สทำการประจำการ "กองกำลังแนวหน้าที่สอง" ในฝั่งตะวันตกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1941 

Josef Stalin, President Franklin Roosevelt and Prime Minister Winston Churchill at Tehran, 1943, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

"ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม" ในกรุงเตหะราน ปี 1943

ในเดือนธันวาคม 1943 ทีมบัญชาการถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อวางแผนและเป็นผู้นำกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกองทัพบกของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี นายพล Dwight D Eisenhower ถูกเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังเคลื่อนไหวเร็วของฝ่ายสัมพันธมิตร

ตัวอักษร D ใน D-Day หมายถึงวันที่ คำว่า D-Day และ H-Hour เป็นคำที่ใช้ในการวางกลยุทธ์ทางทหารในการระบุวันที่และเวลาของการดำเนินการที่ยังไม่สรุปแน่ชัดหรือเป็นความลับ

Meeting of the Supreme Command, Allied Expeditionary Force in London, 1 February 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ทีมบัญชาการ ปี 1944

Henry Carr, General Dwight D Eisenhower (1943) painting, oil on canvas, 1943, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

นายพล Dwight D Eisenhower

พลอากาศเอกเซอร์ Arthur Tedder ได้รับตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พลเรือเอกเซอร์ Bertram Ramsay ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร 

Frederick Morgan เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฝ่ายพันธมิตร 

Air Chief Marshal Sir Arthur Tedder, photographed in Italy, 17 December 1943, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เซอร์ Arthur Tedder

Admiral Sir Bertram Ramsay KCB MVO Allied Naval Commander-in-Chief of the Expeditionary Forces, photographed at his London Headquarters at Norfolk House c. 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เซอร์ Bertram Ramsay

Lieutenant General F E Morgan holding a press conference at headquarters, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

Frederick Morgan

พลเอกเซอร์ Bernard Montgomery ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังที่ 21 สั่งการกองกำลังภาคพื้นดินของฝ่ายสัมพันธมิตรระหว่างการโจมตีในนอร์มังดี 

พลอากาศเอกเซอร์ Trafford Leigh Mallory ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอากาศเคลื่อนไหวเร็วของฝ่ายสัมพันธมิตร 

General Sir Bernard Montgomery in England, 1943, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เซอร์ Bernard Montgomery

Air Chief Marshal Sir Trafford Leigh-Mallory, Commander-in-Chief of the Allied Expeditionary Air Force, looks down on Normandy from a Douglas Dakota aircraft, June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เซอร์ Trafford Leigh Mallory

ความสำเร็จของปฏิบัติการในวันดีเดย์นี้เกิดจากการเตรียมการอย่างระมัดระวัง ในขณะที่โรงงานในอังกฤษทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ​​เพื่อผลิตอาวุธ กระสุน และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการจู่โจมครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาต่างให้ความช่วยเหลือโดยใช้ทักษะและความรู้ของตน

ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการป้องกันตัวของฝ่ายเยอรมัน ภูมิประเทศ และสภาพอากาศได้ถูกรวบรวมไว้ นักประดิษฐ์และวิศวกรออกแบบอุปกรณ์พิเศษที่ช่วยให้กองกำลังสามารถขึ้นฝั่งในนอร์มังดีได้อย่างปลอดภัย

มีการป้อนข้อมูลเท็จให้แก่ทางเยอรมันเพื่อดึงดูดความสนใจจากตำแหน่งที่ทำการโจมตีจริง 

Dummy landing craft moored in southern England before D-Day, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

แบบจำลองเรือที่ใช้ขึ้นฝั่ง 

Group Captain J M Stagg, Chief Meteorological Officer with the Royal Air Force, responsible for forecasting weather conditions for D-Day, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ผู้บัญชาการกลุ่ม J M Stagg หัวหน้าทีมอุตุนิยมวิทยาของ RAF 

Protective suit worn by Lieutenant Rollo Mangnall RNVR of the Combined Operations Pilotage Parties (COPP), จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ชุดป้องกันที่สวมใส่โดยสมาชิกของภาคีปฏิบัติการนำร่องรวม

Thomas Hennell, WRNS Censoring Ships' Mail Portsmouth, 1944, watercolour drawing on paper, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

จดหมายการตรวจพิจารณา WRNS โดย Thomas Hennell 

เรือพิเศษจำนวนมากถูกสร้างขึ้นสำหรับวันดีเดย์ รวมทั้งเรือบรรทุกรถถังสำหรับการขึ้นฝั่ง ซึ่งประกอบด้วยเรือโจมตีลำเล็กและเรือที่ใช้ขึ้นฝั่งลำใหญ่ 

กองกำลังเสริมทางอากาศสตรี (WAAF) ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 1939 เพื่อปลดปล่อยบุคลากรของ RAF ที่ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าให้เป็นอิสระ ในปี 1943 WAAF มีสมาชิกทั้งสิ้น ​​182,000 คน

Tank Landing Craft in Southampton, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
,
Churchill AVRE (Armoured Vehicle Royal Engineer) tank on display in Land Warfare at IWM Duxford, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
,
Members of the Women’s Auxiliary Air Force (WAAF) repair and pack parachutes for use by airborne troops during the Normandy invasion, 31 May 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เรือบรรทุกรถถังที่ใช้ในการขึ้นฝั่ง Churchill AVRE สมาชิกของ WAAF บรรจุร่มชูชีพสำหรับการใช้งานในระหว่างการโจมตีในนอร์มังดี

ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่สามารถพึ่งพาท่าเรือที่เสียหายได้ ดังนั้นท่าเรือจำลองจึงถูกวางแผนขึ้น แห่งหนึ่งอยู่ในเขตแดนของอังกฤษ และอีกแห่งหนึ่งอยู่ในเขตแดนอเมริกา แต่ละท่าถูกสร้างขึ้นจากส่วนต่างๆ ที่สร้างเตรียมไว้ก่อน 400 ส่วน 

ส่วนประกอบของท่าเรือเคลื่อนที่แต่ละส่วนล้วนมีชื่อรหัส ส่วนหัวของสะพาน (Whales) และถนนในส่วนหัวที่กระดกขึ้นและลงตามกระแสน้ำบนขาที่ปรับได้ (Spuds) หีบกระสุนคอนกรีตที่จมอยู่ใต้น้ำ (Phoenixes) ถังเหล็กลอยน้ำ (Bombardons) และเรือจมปิดเส้นทางใต้น้ำ (Corncobs) ซึ่งร่วมกันเป็นเกราะป้องกันชั้นนอก (Gooseberry) ใช้สำหรับปกป้องท่าเรือ 

The ‘Mulberry Harbour’ at Arromanches, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

"ท่าเรือเคลื่อนที่" ที่ชุมชนอาร์โรมานเชส

Model of section of Mulberry Harbour, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

แบบจำลองชิ้นส่วนหนึ่งของ "ท่าเรือเคลื่อนที่"

นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้โจมตีถนนในฝรั่งเศสและเส้นทางรถไฟด้วยการทิ้งระเบิดเพื่อแยกพื้นที่การโจมตีออกจากส่วนอื่นและป้องกันการเสริมกำลังและอุปกรณ์ที่รวดเร็วของทหารเยอรมัน

เพื่อปกปิดความจริงที่ว่านอร์มังดีเป็นเขตโจมตี เป้าหมายอื่นๆ อีกมากมายในภาคเหนือของฝรั่งเศสจึงถูกโจมตีด้วยเช่นกัน ค่ำวันที่ 5 มิถุนายน กองทัพอากาศเริ่มทิ้งแถบฟอยล์โลหะซึ่งมีชื่อรหัสว่า "Window" ข้ามช่องแคบเพื่อสร้างความสับสนบนหน้าจอเรดาร์ของฝ่ายเยอรมัน

ในวันดีเดย์ กองกำลังทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรบินในระดับความสูงเหนือ 14,000 โดยประมาณเพื่อช่วยในการลงจอด ซึ่งรอดพ้นจากการตอบโต้จากฝ่ายเยอรมัน ในชั่วโมงแรกๆ ของวันที่ 6 มิถุนายน ทหารพลร่มของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ลงสู่พื้นด้วยร่มชูชีพและเข้ายึดชายหาดที่ใช้เป็นพื้นที่โจมตี 

Aircraft prepared for the reinforcement of the British airborne assault on D-Day, assembled at Tarrant Rushton, Hampshire, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

การจัดเตรียมกองกำลังเสริมทางอากาศ

"‘Window", จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

แถบฟอยล์โลหะ ที่มีชื่อรหัสว่า "Window"

Men of 22nd Independent Parachute Company, 6th Airborne Division being briefed for the invasion, 4-5 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

บรรยายสรุปการโจมตี

Private Papers of S R Verrier Private Papers of S R Verrier, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

รายงานส่วนตัวของ S R Verrier

ในการป้องกันพื้นที่ชายฝั่งจากการบุกรุกของฝ่ายพันธมิตร เยอรมนีได้สร้างปราการขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่ากำแพงแอตแลนติก โดยมีกล่องกำบังที่สร้างจากคอนกรีต บังเกอร์ และตำแหน่งตั้งปืน

ต้นปี 1944 เมื่อแม่ทัพ Erwin Rommel เข้าบัญชาการกองกำลังเยอรมนีจากเนเธอแลนด์ไปยังแม่น้ำลัวร์ กองกำลังป้องกันได้รับการเสริมทัพ โดยเฉพาะส่วนที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทหารที่ช่องแคบอังกฤษ

C A Russell, A Pill-box, St Aubin-sur-Mer, 1944, watercolour drawing on paper, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

กล่องกำบัง โดย C A Russell

Field Marshal Erwin Rommel, commander of the German anti-invasion forces, inspecting German defences on the Atlantic Wall, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ตรวจสอบกำแพงแอตแลนติก

ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมปี 1944 ได้มีการฝังระเบิดประมาณ 6,500,000 ลูกและวางสิ่งกีดขวางทางทะเลมากกว่า 500,000 อย่าง ในพื้นที่นอร์มังดี มีการวางกำลังป้องกันจากหน่วยทหารราบเยอรมนีที่ 716 เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงทหารเกณฑ์ชาวโปแลนด์และรัสเซียด้วย 

อย่างไรก็ตาม ในบริเวณหาดโอมาฮาหน่วยทหารราบเยอรมนีที่ 352 ที่มีประสบการณ์โชกโชนได้รับการฝึกรับมือการบุกรุกในวันที่ 6 มิถุนายน 1944

Reconnaissance photograph of beach defences in Normandy, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

กองกำลังป้องกันชายหาด

Diagram of mines swept in Seine Bay 6 June 1944 to 31 July 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เหมืองแร่ที่อ่าวซีน

กองทัพเรือของปฏิบัติการ "Overlord" ภายใต้การควบคุมของพลเรือเอกเซอร์ Bertram Ramsay มีชื่อรหัสปฏิบัติการว่า "Neptune"

ในเดือนมิถุนายนปี 1944 เรือรบ เรือบรรทุก และเรือเดินสมุทรอื่นๆ เกือบ 7,000 ลำได้มารวมกันที่ท่าเรือทางตอนใต้ของอังกฤษ เรือกวาดทุ่นระเบิดเคลียร์ช่องทางตลอดทั้งช่องแคบอังกฤษ ในวันดีเดย์ กองทัพเรือสองกองรวมทั้งหน่วยป้องกันการโจมตีทางชายฝั่งได้ส่งหน่วยทหารของอังกฤษสองหน่วย ของแคนาดาหนึ่งหน่วย และของอเมริกาหนึ่งหน่วยขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี

กองทัพเรือยิงสนับสนุนกองทหารบกและดูแลเสบียงให้เพียงพอต่อการเดินทัพไปยังหัวหาด เรือบรรทุกจำนวนมากถูกจมหรือได้รับความเสียหาย แต่ฝ่ายพันธมิตรได้นำกองทหารขึ้นบนมากกว่า 132,000 กองในค่ำคืนนั้น

American commentated account of the Normandy landings, 1944-06, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ฟุตเทจจากการบรรยายการแสดงความคิดเห็นของอเมริกาเกี่ยวกับการขึ้นบกที่นอร์มังดี

ข้อความนี้จากพลเรือเอกเซอร์ Bertram Ramsay หัวหน้าผู้บัญชาการทางเรือของฝ่ายพันธมิตรได้ถูกอ่านต่อหน้ากองทหารทั้งหมดทราบก่อนที่จะส่งพวกเขาขึ้นบุกหาดต่างๆ

 

หน่วยแคนาดาที่ 3 เข้าจู่โจมหาดจูโน ซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นหนาด้วยปืนใหญ่และสิ่งกีดขวางที่อันตราย ทะเลมีคลื่นสูงจึงทำให้การขึ้นบกล่าช้า อำนวยให้ฝ่ายเยอรมนีมีเวลายิงโจมตีทหารราบแคนาดาขณะขึ้นฝั่ง ส่งผลให้กองทหารระลอกแรกมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

Special order of the day to the officers and men of the Allied Naval Expeditionary Force, 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ข้อความจากพลเรือเอกเซอร์ Bertram Ramsay

Permits issued to Captain Peter Lucas, Assistant Military Landing Officer (RE), 7th Beach Group (7th Canadian Brigade, 3rd Canadian Division) on Juno Beach on D-Day, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

คำสั่งอนุญาตที่ออกให้ที่หาดจูโน

9th Canadian Infantry Brigade disembarking with bicycles from landing craft onto 'Nan White' sector of Juno Beach, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

กองทัพแคนาดาที่หาดจูโน

Troops of the US 7th Corps wading ashore on Utah Beach, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

กองทหารสหรัฐฯ ที่หาดยูท่าห์

Letter written by Lieutenant (Torpedo) Officer R MacNab from the cruiser HMS Glasgow describing the landings on Omaha Beach, 6 June 1944 Letter written by Lieutenant (Torpedo) Officer R MacNab from the cruiser HMS Glasgow describing the landings on Omaha Beach, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

จดหมายที่เขียนโดยนายพลโท (Torpedo) R MacNab 

British Army formation badge for 3rd Infantry Division (the 'Iron Division') which landed as the left flank division around Ouistreham on D-Day, 6 June 1944 British Army formation badge for 3rd Infantry Division (the 'Iron Division') which landed as the left flank division around Ouistreham on D-Day, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
,
Infantry of 50th Division moving forward near St Gabriel, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
,
Reconnaissance photograph showing Landing Craft (Tank) landing reinforcements and equipment in the Gold beach area, 6 June 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ป้ายของกองทหารอังกฤษ  กองทหารบนฝั่งใกล้กับเศน์การเบรียล การเข้าประชิดหาดโกลด์

American commentated account of the Normandy landings, 1944-06, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ฟุตเทจจากการบรรยายการแสดงความคิดเห็นของอเมริกาเกี่ยวกับการขึ้นบกที่นอร์มังดี

Commandos approach Sword Beach in a Landing Craft Infantry (LCI), จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

การเข้าประชิดหาดสวอร์ด

Officer’s dress jacket worn by Lieutenant Peter Brooke-Smith RNVR who served in HMS Belfast during the Normandy landings, 1944, 1945-04-04, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ชุดแจ็คเก็ตของนายทหาร HMS Belfast 

Letter from Able Seaman A Jones describes HMS Belfast’s bombardment in support of the D-Day landings. Letter from Able Seaman A Jones describes HMS Belfast’s bombardment in support of the D-Day landings., จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

จดหมายจาก Able Seaman A Jones ที่ทำงานให้กับ HMS Belfast  

Starboard 4 inch guns of HMS Belfast open fire on German positions around Ver-sur-Mer on the night of 27 June 1945, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

HMS Belfast ยิงโจมตีที่ตั้งแวร์ซูแมร์ของเยอรมนี

American commentated account of the Normandy landings, 1944-06, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ฟุตเทจจากการบรรยายการแสดงความคิดเห็นของอเมริกาเกี่ยวกับการขึ้นบกที่นอร์มังดี

ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในบรรดากลุ่มแรกที่ขึ้นฝั่งในวันดีเดย์ได้รับการดูแลจากแพทย์ของกองทหารที่ขึ้นฝั่งพร้อมกองกำลังโจมตี ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการรักษาและนำตัวกลับด้วยเรือบรรทุกผ่านทางช่องแคบอังกฤษ โรงพยาบาลทหารทั่วสหราชอาณาจักรต่างเตรียมพร้อมรับตัวผู้บาดเจ็บ 

เมื่อหัวหาดปลอดภัยแล้ว ได้มีการตั้งโรงพยาบาลภาคสนามในนอร์มังดี และหน่วยปฐมพยาบาลก็ข้ามมาทางช่องแคบอังกฤษเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บ

Private Papers of Miss M E Littleboy Private Papers of Miss M E Littleboy, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

เอกสารส่วนตัวของนางสาว M E Littleboy คนขับรถพยาบาลซึ่งประจำอยู่ที่ Isle of Wight ในระหว่างการขึ้นฝั่งในวันดีเดย์ 

OPERATION OVERLORD (THE NORMANDY LANDINGS): D-DAY 6 JUNE 1944, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

การรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ

ทหาร 75,000 นายขึ้นฝั่งที่หาดโกลด์ จูโน และสวอร์ดก่อนเที่ยงคืนในวันดีเดย์ โดยมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ หรือสูญหายประมาณ 3,000 ราย ทหาร 23,250 รายขึ้นฝั่งที่หาดยูท่าห์ โดยมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไม่เกิน 250 ราย กองทหารสหรัฐฯ 34,000 กองขึ้นฝั่งที่หาดโอมาฮา ซึ่งเป็นที่ที่กองกำลังต่อต้านเยอรมนีมีความแข็งแกร่งที่สุด มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตประมาณ 2,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนการสูญเสียที่สูงจากจำนวนทั้งหมดของฝ่ายพันธมิตรในวันดีเดย์

American commentated account of the Normandy landings, 1944-06, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

ฟุตเทจจากการบรรยายการแสดงความคิดเห็นของอเมริกาเกี่ยวกับการขึ้นบกที่นอร์มังดี

โดยรวมแล้ว ฝ่ายพันธมิตรมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งหมดประมาณ 10,200 รายในวันที่ 6 มิถุนายน :ซึ่งเป็นจำนวนนี้ต่ำกว่าที่ผู้วางแผนและผู้บังคับบัญชาคาดไว้ แต่ทุกชีวิตแสดงถึงความสูญเสียอันแสนเศร้าสำหรับครอบครัวและเพื่อน

German prisoners tending an American cemetery at St Laurient, France, near Omaha beach one year after D-Day, จากคอลเล็กชันของ: Imperial War Museums
แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

สุสานอเมริกันใกล้หาดโอมาฮา

เครดิต: เรื่องราว

Project Lead—Carolyn Royston

เครดิต: สื่อทั้งหมด
เรื่องราวที่นำเสนอบางเรื่องเขียนขึ้นโดยบุคคลหรือหน่วยงานอิสระภายนอก ซึ่งอาจแสดงมุมมองที่แตกต่างไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อนุเคราะห์รูปภาพตามรายชื่อด้านล่าง
สำรวจเพิ่มเติม
ธีมที่เกี่ยวข้อง
Second World War
Remembering the Second World War
ดูธีม
หน้าแรก
สำรวจ
เล่น
ใกล้เคียง
รายการโปรด