เมื่อวิกฤตการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปีพ.ศ. 2540 (ต้มยำกุ้ง) เริ่มที่จะคลี่คลาย ประเทศกลับสู่การฟื้นฟูทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในสมัยรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดี มีการบริหารประเทศที่เริ่มใส่ใจคนจากรากหญ้าขึ้นไปสู่ด้านบน เศรษฐกิจขยายตัว มีการปลดภาระหนี้ต่างประเทศได้สำเร็จ
นับได้ว่าประเทศเข้าสู่ยุคเครื่องจักรของการพัฒนาที่เริ่มเดินเครื่องอีกครั้ง
แต่แล้วประเทศก็เข้าสู่การรัฐประหารอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นต้นตอของเรื่องราวที่บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้ การโค่นล้มรัฐบาลที่แข็งแกร่งจากความเป็นประชาธิปไตยในครั้งนั้นได้สร้างปัญหาและภาวะของวิกฤตทางการเมืองที่ยืดเยื้อเป็นอย่างมาก สังคมได้แตกแยกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน
ในช่วงทศวรรษ 2540 – 2550 เป็นต้นมา หากจะมองศิลปะที่เกิดขึ้นในพื้นที่การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นเวทีการประกวดศิลปกรรมหลักของประเทศนั้น มิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ผลงานยังคงแสวงหาอัตวิสัย มุ่งค้นหาสัจธรรมที่แท้จริง ในมิติของความดีที่คู่กับความงาม หรือไม่ก็พัฒนาผลงานมาในแนวทาง รูปทรงนิยม (formalism) ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
ด้วยการสร้างภาพแทนทางสังคมเป็นส่วนผสมลงไปในผลงาน ผลงานจึงเป็นการกล่าวถึงสังคมในมิติที่กว้าง เน้นการจัดวางองค์ประกอบที่ลงตัว มีการใช้ทัศนธาตุมาเป็นส่วนประกอบเพื่อบรรลุถึงเนื้อหา
HOME: Political Crisis (2014) โดย Parinya TantisukArt Centre Silpakorn University
เป็นที่น่าสนใจว่าสีในการสร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่ราวทศวรรษ 2530-2560 ค่อนข้างจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ มืดๆทึมๆ
สีในโทนสว่างจะไม่ถูกนำมาใช้ในผลงาน เช่น ผลงานของ ปริญญา ตันติสุข ตั้งแต่ปีพ.ศ.2530 เป็นต้นมามีสีสันที่สดใสเริ่มเบนมาสู่การใช้สีที่มืดทึม หรือบางผลงานก็จะมีจุดสว่างวาบขึ้นมา บรรยากาศที่มืดสลัวในผลงาน
รวมถึงงานประติมากรรมที่เน้นการทำสีวัสดุสีดำเพื่อแสดงถึงความหนาหนักในปริมาณของรูปทรง
ในภาวะบ้านเมืองที่มืดๆทึมๆ ผลงานในพื้นที่ศิลปกรรมแห่งชาติก็ได้กลับมาพูดถึงเรื่องประเด็นที่เคลื่อนตัวออกจากตัวเองอีกครั้ง
ในรูปแบบที่สะท้อนปัญหาทางสังคมไม่ว่าจะเป็นชีวิตเมือง สังคม พิษภัยของโลกเทคโนโลยี ศาสนา บาปและภพภูมิของผู้ซึ่งมีบาปในโลกปัจจุบัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเคลื่อนตัวออกจากแนวทาง รูปทรงนิยม (formalism) ได้อย่างน่าสนใจ
Ghost Family (2009) โดย Weerasak SutsadeeArt Centre Silpakorn University
ทั้งนี้เมื่อการใช้รูปทรงเริ่มอิ่มตัวและดูเหมือนว่าถอยห่างจากการสร้างสรรค์ สิ่งที่มาแทนที่คือการสรรค์สร้างรูปกายมนุษย์ขึ้นมาในรูปลักษณ์ต่างๆเพื่อมาเป็นภาพแทนของเรื่องราวและปัญหาต่างๆที่บิดเบี้ยวทางสังคม
รูปกายนี้มีทั้งการแสดงออกแบบสัจนิยมตรงไปตรงมา หรือในแบบจินตนิยม ที่เน้นการแสดงออกของอารมณ์ของร่างกายมนุษย์และบรรยากาศในผลงาน หรือในแบบเหนือจริง (แบบไทยๆ) Surrealism ที่มีการผสมผสานในทุกๆแนวทางการแสดงออกเพื่อที่จะสื่อสารในเรื่องที่ต้องการ
ทั้งนี้หลังทศวรรษ 2540 เป็นต้นมาการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในพื้นที่การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติมิได้มีเส้นจำกัดรูปแบบที่ตายตัว หรือมีลัทธิใดมาครอบงำการสร้างสรรค์ ทุกรูปแบบหรือทุกมโนทัศน์ที่ศิลปินแสดงออกนั้นมีความหลายหลายในทุกมิติ ความหลากหลายนี้เองสะท้อนถึงโลกที่เคลื่อนตัวสู่ความเป็นโลกาภิวัฒน์ การย่นย่อระยะทางของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แกนกลางในการสร้างสรรค์แปรเปลี่ยนไป ทุกสิ่งลื่นไหลถ่ายเทอย่างมิจำกัด
Fragment of Merit - Sin (2006) โดย Anupong ChantornArt Centre Silpakorn University
พุทธศิลป์หรือผลงานศิลปะไทยร่วมสมัยเป็นที่นิยมอย่างมาในทศวรรษหลัง 2540 เป็นต้นมา ทั้งในรูปแบบการตีความใหม่ในกรอบเรื่องไตรภูมิ ทั้งการนำพุทธสภาวะมานำเสนอถึงความสงบ ความดี ความงาม สังขาร
รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ที่ทำผิดบาปในวินัย
ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวได้หลั่งไหลเข้ามาสู่พื้นที่การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติอย่างมาก ในช่วงหลังผลงานมักมีการตรวจสอบสังคมหรือตัวตนที่เป็นอัตวิสัย ใช้ตนเองเป็นที่ตั้งของสมมติฐานผนวกกับกรอบความคิดของความเป็นพุทธที่ยังคงเป็นหนึ่งในแก่นความคิดหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน
ในช่วงทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา แนวทางที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นเรื่องราวทางวัฒนธรรม คนพลัดถิ่น คนไทยต่างเชื้อสาย คนชายขอบ หรือความเป็นชุมชนที่มีการแสดงออกในเรื่องราวที่เคยถูกกดทับจากรัฐอย่างยาวนาน รวมทั้งผลกระทบความรุนแรงในชายแดนใต้ของไทย ซึ่งพื้นที่การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติเป็นพื้นที่แรกๆที่ฉายภาพการแสดงออกถึงปัญหาความรุนแรงในดินแดนดังกล่าวผ่านผลงานศิลปะ
Sanctuary Inside the Soul No.2 (2015) โดย Praween PiangchompuArt Centre Silpakorn University
อีกปรากฏการณ์ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือการกลับมาของภาพพิมพ์ที่เน้นทักษะฝีมือ การให้ค่าน้ำหนักแสงเงาที่เหมือนจริง เช่นในผลงานของ บุญมี แสงขำ จักรี คงแก้ว ประวีณ เปี่ยงชมภู สุรศักดิ์ สอนเสนา
Emptiness (2012) โดย Kamolpan ChotvichaiArt Centre Silpakorn University
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่หลุดออกจากมิติที่แบนราบ เช่น กมลพันธ์ โชติวิชัย จิรนันท์ จุลบท ซึ่งมีความน่าสนใจในประเด็นของการหวนคืนไปสู่การให้ความสำคัญเกี่ยวกับทักษะฝีมือ มากกว่าการให้ความสำคัญในด้านเนื้อหาของผลงาน
Formation of One Thing Lies on Deterioration of Another No.3 (2011) โดย Suporn KaewdaArt Centre Silpakorn University
เป็นที่น่าสังเกตได้ว่าปลายทศวรรษ 2550 จนถึงต้นทศวรรษ 2560 การใช้สีในการสร้างสรรค์ผลงานเหมือนจะกลับเข้าสู่ยุคมืดๆทึมๆที่ชัดเจนมากกว่าทุกครั้ง เฉดขาว เทา ดำ เป็นที่นิยมในหมู่ศิลปินเป็นอย่างมาก ทั้งในรุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่
ที่ชัดเจนสุดคงเป็นผลงานของ สุพร แก้วดา ที่มีเพียงแค่การเขียนดินสอไขสีขาวบนพื้นผ้าใบสีดำเพียงเท่านั้น
ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุผลของการเลือกใช้เฉดสีที่จำกัดนี้มาจากสาเหตุใด อาจเป็นเหตุปัจจัยแวดล้อมรอบข้างไม่ว่าจะเป็นชีวิต สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่เป็นปัจจัยทำให้สีในการสร้างสรรค์ในพื้นที่การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติดังกล่าวลดน้อยถอยลง
อย่างไรก็ดีการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติอยู่คู่เคียงข้างพัฒนาการศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยไทยมาตั้งแต่อดีต และยังคงมอบพื้นที่ให้การพัฒนาที่ยั่งยืนสู่อนาคต เมื่อศิลปะเป็นดั่งกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนสังคม พื้นที่ของการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติก็ควรจะทำหน้าที่ดังกล่าวเช่นกัน
ในประวัติศาสตร์ การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติได้เดินทางเคียงข้างสังคมมาโดยตลอด
ความพลิกผันต่างๆทางสังคมไหลเวียนผ่านผลงานศิลปะในพื้นที่นี้มากกว่า 60 ปี การเกิดขึ้นของรูปแบบและเนื้อหาของศิลปะอันหลากหลายทำให้ฉายภาพปรากฏการณ์บางอย่างทางสังคมที่สามารถวิเคราะห์ให้เห็นถึงพัฒนาการสังคมและมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ
ท้ายสุดนี้การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติเป็นดั่งสายน้ำแห่งหนึ่งที่หล่อเลี้ยงศิลปะที่มีเส้นทางยาวไกล รวบรวมเรื่องราวต่างๆนานามากมาย เก็บเกี่ยววิวัตนาการทางศิลปะจนมองกลับไปกลายเป็นประวัติศาสตร์บทหนึ่งของศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยของไทย
Artworks featured in this story are parts of Silpakorn Art Collections. They are award-winning works from the National Exhibition of Art and Exhibition of Contemporary Art by Young Artists, under the care and management of the Art Centre Silpakorn University.